วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เเว่นตา มี Auto focus


   

   บริษัท PixelOptics ได้คิดค้นเเว่นตาไฮเทค ที่เพิ่มชั้นของคริสตัลเหลวไปบนเลนส์ เพียงเเค่เงยหน้า หรือสัมผัส ที่เเว่น ก็จะปรับโฟกัสให้อัตโนมัติในช่วงเวลาที่เร็วกว่ากระพริบตาเสียอีก 
   Empowerช่วยปรับระยะการมองเห็น ไม่ว่าจะใกล้ไกล หรือระยะกลางๆ ข้างในซ่อนไมโครชิพ เเละเเบตเตอรี่ชาร์ตได้ขนาดเล็กซ่อนเอาไว้ 
   Accelerometer จะทำหน้าที่จับเคลื่อนไหวเเล้วส่งสัญญาณไปยังชั้น LCD โปร่งใสบนเลนส์เเต่ละข้าง สามารถปรับได้ว่าจะใช้โหมดอัตโนมัติหรือ Manualเพียงเเค่กดปุ่มเปิดหรือปิด
   การชาร์ต 1 ครั้ง ใช้ได้ถึง2-3วัน กันน้ำได้ เเละเปลี่ยนเลนส์ให้เป็นเเว่นตากันเเดดก็ได้อีกด้วย






   

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 2 ข้อมูล สารสนเทศ เเละการจัดการ

1.ข้อมูลเเละสารสนเทศ
-ข้อมูล (data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นหรือมีลักษณะหลายอย่างผสมผสานเข้าด้วยกัน
-สารสนเทศ (information) หมายถึง ข้อมูลต่างๆที่ผ่านการประมวลผลเเล้ว ซึ่งถูกต้องเเม่นยำเเละตรงกับความต้องการของผู้ใช้
-ลักษณะของข้อมูลที่ดี ข้อมูลที่ดีจะต้องเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ มีความสมบูรณ์ในระดับที่เหมาะสมเเละตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยข้อมูลที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
>>มีความถูกต้องเเละเเม่นยำ เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะหากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่น่าเชื่อถือ ผู้ใช้ก็ไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้
>>มีความสมบูรณ์ครบถ้วน ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์กระชับเเละชัดเจนก็จะทำให้ข้อมูลนั้นมีคุณภาพเกิดความน่าเชื่อถือ
>>ถูกต้อง รวดเร็ว เเละเป็นปัจจุบัน ข้อมูลที่มีความถูกต้อง สด ใหม่ เเละทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน จะทำให้ผู้ใช้ได้เปรียบคู่เเข่งอย่างมาก
>>ความสอดคล้องของข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล ควรวางเเผนหรือสรุปเป็นหัวข้อตามความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด


-ชนิดเเละลักษณะของข้อมูล ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลเเบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้เเก่
>>ข้อมูลที่เป็นตัวเลข (numeric data) คือ ข้อมูลที่ใช้เเทนจำนวนที่สามารถนำไปคำนวณได้ ซึ่งเขียนได้หลายรูปเเบบคือ เลขจำนวนเต็ม เเละ เลขทศนิยม
>>ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ (character data) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเเละไม่สามารถนำไปคำนวณได้ เเต่นำมาเรียงต่อกันให้มีความหมายได้
-ประเภทของข้อมูล เราสามารถเเบ่งประเภทของข้อมูลได้ 2 ประเภทใหญ่ๆได้เเก่
>>ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) คือ ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมหรือบันทึกจากเเหล่งข้อมูลโดยตรง ซึ่งไม่ได้คัดลอกจากบุคคลอื่น ข้อมูลที่ได้จะมีความถูกต้อง ทันสมัย เเละเป็นปัจจุบันมากกว่าข้อมูลทุติยภูมิ
>>ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data) คือ ข้อมูลที่มีผู้รวบรวมหรือเรียบเรียงไว้เเล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้

2.กระบวนการจัดการสารสนเทศ
เราสามารถเเบ่งประเภทของข้อมูลได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
-การรวบรวมเเละตรวจสอบข้อมูล
>>การรวบรวมข้อมูล เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินงาน ซึ่งใช้เทคโนโลยีช่วยในการจัดเก็บข้อมูล
>>การตรวจสอบข้อมูล เมื่อมีการรวบรวมข้อมูล ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลเพื่อความถูกต้อง ซึ่งหากพบความผิดพลาดก็จะต้องเเก้ไขโดยอาจใช้สายตาของมนุษย์หรือใช้คอมพิวเตอร์ช่วยตรวจสอบ
-การประมวลผลข้อมูล ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
>>การจัดกลุ่มข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บควรจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน เพื่อเตรียมไว้สำหรับการใช้งานต่อไป
>>การจัดเรียงข้อมูล เมื่อจัดกลุ่มเป็นหมวดหมู่เเล้ว ก็ควรจัดเรียงข้อมูลที่มีความสำคัญตามลำดับตัวเลขหรืออักขระเพื่อสะดวกเเละประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูล
>>การสรุปผลข้อมูล หลังจากจัดเรียงลำดับความสำคัญของข้อมูลต่างๆเเล้ว ก็ควรสรุปข้อมูลเหล่านั้นให้กระชับเเละได้ใจความสำคัญ เพื่อรอการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
-การจัดเก็บเเละดูเเลรักษาข้อมูล ประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
>>การเก็บรักษาข้อมูล การนำข้อมูลที่ประมวลผลเเล้วมาบันทึกเก็บไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลต่างๆ
>>การทำสำเนาข้อมูล การคัดลอกข้อมูลจากต้นฉบับเพื่อเก็บรักษา หากข้อมูลต้นฉบับเสียหาย ก็สามารถนำข้อมูลที่ทำสำเนาไว้มาใช้ได้ในทันที
-การเเสดงผลข้อมูล
>>การสื่อสารเเละเผยเเพร่ข้อมูล เป็นเรื่องสำคัญเเละมีบทบาทอย่างมาก เพราะหากได้รับข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วเเละทันเวลา ผู้ใช้งานก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้เต็มศักยภาพ
>>การปรับปรุงข้อมูล หลังจากที่ได้เผยเเพร่ข้อมูลไปเเล้ว ก็ควรมีการติดตามผลตอบกลับ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาปรับปรุงเเก้ไขให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เเละควรจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อง่ายต่อการใช้งาน


3.ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
-ระบบเลขฐานสอง การสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลหรือการสั่งงานจะต้องอาศัยระบบเลขฐานสอง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณไฟฟ้าโดยเเทนตัวเลขศูนย์ เเละหนึ่ง โดยเเต่ละหลักจะเรียกว่า บิต เเละเมื่อนำตัวเลขหลายๆบิตมาเรียงต่อกันเท่ากับ 1 ไบต์ จะใช้สร้างรหัสเเทนจำนวน อักขระ สัญลักษณ์ ทั้ภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษได้
-รหัสเเทนข้อมูล เพื่อให้การเเลกเปลี่ยนข้อความระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เป็นไปในเเนวเดียวกัน จึงมีการกำหนดมาตรฐานรหัสเเทนข้อมูลในระบบเลขฐานสองขึ้น โดยมีรายละเอียดต่างๆดังนี้
>>รหัสเเอสกี (American Standard Code Information Interchange:ASCII) เป็นรหัสเเทนข้อมูลด้วยเลขฐานสองจำนวน 8 บิต หรือเท่ากับ 1 ไบต์ เเทนอักขระหรือสัญลักษณ์เเต่ละตัว ซึ่งหมายความว่าการเเทนอักขระเเต่ละตัวจะประกอบด้วยเลขฐานสอง 8 บิตเรียงกัน
>>รหัสยูนิโค้ด (Unicode) เป็นรหัสเเทนข้อมูลด้วยเลขฐานสองจำนวน 16 บิต เนื่องจากตัวอักษรบางประเภเป็นตัวอักษรภาษาจีนเเละภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวอักษรเป็นหมื่นตัว หากใช้รหัสที่เป็นเลขฐานสอง 8 บิตจะเเทนรูปเเบบตัวอักษรได้เพียง 256 รูปเเบบ ด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างรหัสใหม่ขึ้นมาเเทน โดยเเทนตัวอักขระได้ 65,536 ตัว เเละยังใช้เเทนสัญลักษณ์กราฟิกเเละสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อกด้วย
-การจัดการข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ในการจัดเก็บข้อมูลไว้ในสื่อบันทึกต่างๆจะต้องกำหนดรูปเเบบหรือโครงสร้างของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานเเละคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
>>บิต (bit) คือตัวเลขหลักใดหลักหนึ่งในระบบเลขฐานสอง ซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูล
>>ตัวอักขระ (character) คือ ตัวเลข ตัวอักษร หรือเครื่องหมายใดๆโดยตัวอักขระเเต่ละตัวจะใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต หรือ 1 ไบต์
>>เขตข้อมูล (field) คือ ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระเรียงต่อกัน เพื่อเเทนความหมายใดความหมายหนึ่ง
>>ระเบียบข้อมูล (record) คือ กลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกัน ตั้งเเต่ 1 เขตข้อมูลขึ้นไป
>>เเฟ้มข้อมูล (file) คือ กลุ่มของระเบียนข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน ตั้งเเต่หนึ่งระเบียนขึ้นไป
>>ฐานข้อมูล (database) เป็นที่รวบรวมเเฟ้มข้อมูลหลายๆเเฟ้มเข้าด้วยกัน ซึ่งจะต้องมีความสัมพันธ์กันโดยใช้เขตข้อมูลที่เหมือนกันเป็นตัวเชื่อมระหว่างกัน
4.จริยธรรมในการใช้ข้อมูล
ประเด็นต่างๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับจริยธรรมในการใช้ข้อมูล มีดังนี้
-ความเป็นส่วนตัว (privacy) ก่อนที่จะเผยเเพร่ข้อมูลทุกครั้งต้องคำนึงถึงข้อมูลที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ซึ่งหากข้อมูลถูกพวกมิจฉาชีพนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้เเก่เจ้าของข้อมูลได้
-ความถูกต้อง (accuracy) ก่อนที่จะเผยเเพร่ข้อมูลใดๆควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้นเสียก่อน เพราะถ้าผู้รับข้อมูลได้รับข้อมูลที่ผิด ก็จะไม่สามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการค้นหาใหม่
-ความเป็นเจ้าของ (property) การละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา จะทำให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจต่อเจ้าของข้อมูล ผู้ใช้จึงควรระมัดระวังในการนำข้อมูลต่างๆมาใช้งาน ว่าได้รับอนุญาติจากเจ้าของข้อมูลหรือไม่ ซึ่งหากละเมิดลิขสิทธิ์ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย
-การเข้าถึงข้อมูล (accessibility) การใช้งานคอมพิวเตอร์มักมีการกำหนดสิทธิตามระดับของผู้ใช้งาน ก็เพื่อป้องกันเเละรักษาความลับของข้อมูล ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว


วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร

1.ความหมายของเทคโนดลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
  เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสารประกอบด้วย
-เทคโนโลยี (technology) หมายถึง การนำความรู้หรือวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ในการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ หรือเเม้กระทั่งสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้
-สารสนเทศ (information) หมายถึง ข้อมูลจริง ความคิดเห็นเห็น หรือประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านกระบวนการประมวลผลอย่างมีระบบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการ
-การสื่อสาร (communication) หมายถึง การส่งข้อมูลข่าวสารโดยอาศัยสื่อเป็นตัวกลาง จากบุคคลหนึ่งหรือสถานที่หนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งหรืออีกสถานที่หนึ่ง

 เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technoiogy:IT) มาจากคำว่า "เทคโนโลยี"กับ"สารสนเทศ"เชื่อมต่อกัน ซึ่งหมายถึง การนำความรู้หรือวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดการกับข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบ เเละก่อให้เกิดประโยชน์ในการทำงานหรือเเก้ปัญหาต่างๆให้เเก่บุคคลหรือองค์กร
 เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร (Information and Communication Technology:ICT) เมื่อนำคำทั้งสามคำมาเชื่อมต่อกันจะมีความหมายคือ การนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มาใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีการสื่อสารเเละโทรคมนาคม เพื่อผลิต เผยเเพร่ เเละจัดเก็บสื่อสารสนเทศในรูปเเบบต่างๆ















2.ระบบสารสนเทศ
ระบบสารสนเทศ (information system) เป็นระบบที่ช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ เเละจัดการกับข้อมูลต่างๆอย่งเป็นระบบ ซึ่งประกอบด้วย 5 ส่วนสำคัญ คือ
-ฮาร์ดเเวร์ (hardware) เป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับสารสนเทศ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์เเละอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆซึ่งนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบสารสนเทศ เนื่องจากสามารถทำงานได้รวดเร็ว เเม่นยำ เเละทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
-ซอฟต์เเวร์ (software) เป็นโปรเเกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งการให้ คอมพิวเตอร์เเละอุปกรณ์ ต่อพ่วงต่างๆ ทำงานตามคำสั่งของผู้ใช้ ซึ่งเเบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
 >>ซอฟต์เเวร์ระบบ (system software) เป็นชุดคำสั่งที่มีหน้าที่ควบคุมการทำงานอุปกรณ์เเละวอฟต์เเวร์ทั้งหมดภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นการทำงานต่างๆได้
>>ซอฟต์เเวร์ประยุกต์ (application software) เป็นชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อประยุกต์ใช้กับงานตามความต้องการของผู้ใช้เเต่ละคน
-ข้อมูล (data) ข้อมูลที่ดจะต้องมีความสมบูรณ์ ถูกต้อง เเละเชื่อถือได้ โดยจะถูกรวบรวมเเละป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ การจัดเก็บข้อมูลจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นระบบเพื่อให้สืบค้นไดอย่างรวดเร็วเเละมีประสิทธิภาพ
-บุคลากร (people) จะต้องมีความรู้เเละความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้เกิดประโยชน์โดยเเบ่งออกเป็นผู้พัฒนาเเละผู้ใช้ระบบสารสนเทศ ซึ่งผู้พัฒนาจะต้องพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ใช้จะต้องมีความรู้เเละความเข้าใจในการใช้งานระบบสารสนเทศได้อย่างถูกต้อง
-ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (procedure) ผู้ใช้งานจะต้องปฏิบัติตามระเบียบเเละวิธีการปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพ
3.ประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
-ด้านการศึกษา ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารงานการศึกษาเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาเเละเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
-ด้านการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลจำนวนมากได้ถูกรวบรวมเเละบันทึกไว้ในรูปของสื่อบันทึกข้อมูลประเภทต่างๆ ซึ่งสามารถเก็บรวบรวมเอกสารหรือหนังสือต่างๆทั้งหมดไว้เเละนำข้อมูลกลับมาใช้ได้ตลอดเวลา
-ด้านการสื่อสารเเละโทรคมนาคม การสื่อสารเเบบไร้สายเข้ามามีส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมที่ต้องการความสะดวกเเละรวดเร็ว
-ด้านวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี การวิจัยเเละการทดลองทางด้านวิทยาศาสตร์ล้วนเเล้วเเต่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสารทั้งสิ้น
-ด้านความบันเทิง รูปเเบบการนำเสนอที่ตอบสนองความต้องการทั้งภาพเเละเสียงได้อย่างมีประสิทธิภพประกอบกับการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่างๆที่สะดวกเเละรวดเร็ว จึงทำให้ได้รับความนิยมใช้งานกันอย่างเเพร่หลาย
4.เเนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
>>เทคโนโลยีเเบบไร้สายทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีความสะดวกเเละรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
>>มีการใช้ระบบเสมือนจริงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคม
>>อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสารจะมีขนาดกะทัดรัดเเละราคาถูก เเต่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นเเละมีการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
>>การวางเเผน การคิดวิเคราะห์ เเละการตัดสินใจของมนุษย์จะถูกเเทนที่โดยคอมพิวเตอร์ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจ
>>ด้วยการเข้ถึงข้อมูลที่ง่าย สะดวก เเละรวดเร็ว ทำให้มีช่องทางการดำเนินธุรกิจเเละกิจกรรมต่างๆเพิ่มมากขึ้น
>>หน่วยงานหรือองค์กรจะมีขนาดเล็กลง เเต่จะปรับเปลี่ยนเป็นลักษณะของการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระหว่างหน่วยงานย่อยๆเพิ่มมากขึ้น
5.ผลกระทบจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
>>พฤติกรรมเลียนเเบบจากเกมที่ใช้ความรุนเเรง อาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมได้
>>การใช้ชีวิตของสังคมเมืองเปลี่ยนไป ทำให้การพบปะของผู้คนลดน้อยลง ส่งผลให้สัมพันธภาพทางสังคมลดน้อยลงตามไปด้วย
>>การเข้าถึงข้อมูลบนระบบเครือข่ายที่ง่าย สะดวก เเละรวดเร็ว ทำให้เกิดช่องทางการโจรกรรมเพิ่มมากขึ้น
>>ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้การผลิตของผดกฎหมายเเละะเมิดลิขสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น
>>การส่งต่อข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆบนระบบเครือข่าย
>>เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสารพัฒนาเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีเเนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีมาตรการการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตได้
6.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร
>>นักเขียนโปรเเกรมหรือโปรเเกรมเมอร์ (programmer) ทำหน้าที่เขียนโปรเเกรมคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้ตามที่ต้องการ
>>นักวิเคราะห์ระบบ (system analyst) ทำหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ เเละพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยออกเเบบให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน
>>ผู้ดูเเลเเละบริหารฐานข้อมูล (database administrator) ทำหน้าที่บริหารจัดการฐานข้อมูล ดูเเลความปลอดภัยของข้อมูล ประสานงาน เเละตรวจสอบการใช้งาน
>>ผู้ดูเเลเเละบริหารระบบเครือข่าย (network administrator) ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบเครือข่าย เเละดูเเลความปลอดภัยระบบเครือข่ายภายในองค์กร
>>ผู้พัฒนาเเละบริหารระบบเว็บไซต์ (webmaster) ทำหน้าที่ดูเเลเเละคอยควบคุมทิศทางของเว็บไซต์ตั้งเเต่เนื้อหาภายในเว็บไปจนถึงหน้าตาของเว็บเพจให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
>>เจ้าหน้าที่เทคนิค (technician) ทำหน้าที่ดูเเลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์เเละซอฟต์เเวร์